รัฐบาลแอฟริกาใต้กุมขมับ เปิดดีหรือปิดดี? ‘คนอดตาย’ หรือ ‘ยอดโควิด-19 พุ่ง’?
ตั้งแต่ประเทศแอฟริกาใต้ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รัฐบาลได้สั่งล็อกดาวน์ทันทีเป็นเวลา 21 วันตั้งแต่วันที่ 27/03/2020 และภายหลังได้ลากยาวไปจนสิ้นเดือนเมษายน
มาตรการล็อกดาวน์ของที่นี่ถือว่าเข้มงวด (เข้าขั้นโหด) มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีคำสั่งให้ทุกคนอยู่แต่ภายในบ้าน ห้ามวิ่งจ็อกกิ้ง ปั่นจักรยาน พาสุนัขเดินเล่นก็ไม่ได้ และงดการขายแอลกอฮอล์และยาสูบทุกชนิด
อุตสาหกรรมเรือก็โดนด้วย มีคำสั่งห้ามเรือสำราญมาจอดแวะเทียบท่า (ธุรกิจท่องเที่ยวพลอยซวยไปด้วย) ห้ามมีการผลัดเปลี่ยนลูกเรือโดยเด็ดขาด แต่งานที่ท่าเรือทุกแห่งยังดำเนินการต่อไปได้ สินค้าที่รับเข้ามาจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต้องผ่านการฆ่าเชื้อก่อน และมีการจำกัดพื้นที่การทำงานและบริการคมนาคมขนส่ง กิจกรรมต่าง ๆ บริเวณท่าเรือเหลือการทำงานเพียง 60% เมื่อเทียบกับยามปกติ
ยอดการส่งออกของประเทศลดต่ำลง อันเป็นผลกระทบจากการปิดประเทศของจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของแอฟริกาใต้ จีนดี ก็ดีตาม ถ้าไม่ดี ก็ไม่ดีตามไปด้วย และยังมีผลลามไปให้มีคนตกงานเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราผู้ว่างงานในประเทศที่สูงอยู่แล้วถีบสูงขึ้นไปอีก
ธนาคารกลางของประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 0.2% ในปีนี้ จากนั้นจะปรับตัวสูงขึ้น 1% และ 1.6% ในอีกสองปีถัดไป
เจอแบบนี้รัฐบาลอัพยาพาราแทบไม่ทัน แม้มาตรการล็อกดาวน์สุดโหดในตอนแรกชะลอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดี แต่กลับส่งผลย่ำแย่ตามที่เล่ามาทั้งหมด
รัฐบาลงัดเอานโยบายการเงินและการคลังหลากหลายมาใช้ ทั้งยังเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับตลาดในประเทศหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หลาย ๆ ภาคส่วนในประเทศเห็นว่ายังไม่เพียงพอ
ณ ตอนนี้ รัฐบาลเล็งที่จะผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ลงมาอยู่ที่ระดับที่ 3 จากที่เคยลดจากระดับสูงสุดที่ 5 ลงมาเหลือ 4 ตอนเปิดปฏิทินเดือนพฤษภาคม เพื่อให้โรงเรียนเปิดและผู้คนกลับไปทำงานได้ในต้นเดือนมิถุนายน แต่กลับมีการคัดค้านจากรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขว่าประเทศยังไม่พร้อมลดระดับ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังพุ่งสูงขึ้นตลอดเวลา
รายงานผู้ติดเชื้อในประเทศประจำวันที่ 20/05/2020 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 803 ราย สรุปมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 18,003 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว 339 ราย
เหล่านักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่ให้คำปรึกษากับรัฐบาลเตือนว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศตอนนี้ยังไม่ใช่จุดสูงสุด พวกเขาคาดว่าหากมีการผ่อนปรนไปที่ระดับ 3 จริงแล้วละก็ ถ้าโชคดีจะพบผู้ติดเชื้อแค่ 100,000 รายในปลายเดือนสิงหาคม แต่ถ้าดวงกุด ตัวเลขจะพีกถึง 120,000 ราย และเชื่อว่าถึงตอนนั้นคนล้นโรงพยาบาลเป็นแน่
ถึงตรงนี้ต้องดูฝีมือของเหล่าผู้นำในรัฐบาลแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป? การจะทำให้สถานการณ์ออกมาดีต่อทุกฝ่ายดูมีความยากระดับ mission impossible เลยนะเนี่ย
อ้างอิง